แนวโน้มเทคโนโลยีใหม่
แนวโน้มเทคโนโลยีใหม่
การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศในระยะเวลาอันใกล้นี้มีแนวโน้มที่จะพัฒนาคอมพิวเตอร์ให้มีความสามารถใกล้เคียงกับความเป็นตัวตนของมนุษย์ได้เหมือนหรือใกล้เคียงมากที่สุดซึ่งจะดูได้จากความก้าวหน้าของ การประดิษฐ์คิดค้นและสร้างประสาทสัมผัสเสมือนขึ้นมาให้ทำงานได้ผลลัพท์ใกล้เคียงระบบประสาทสัมผัสจริงๆของมนุษย์เพื่อให้คอมพิวเตอร์เกิดการเข้าใจภาษาสื่อสารทุกด้านของมนุษย์และระบบการคิดโดยใช้โครงข่ายประสาทเทียม
(ปัญญาประดิษฐ์ / AI /
Artificial Intelligence) โดยพยายามนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์มากขึ้น
เพื่อลดการสูญเสียประชากรโลกเนื่องจากผิดพลาดที่เกิดจากมนุษย์เองซึ่งการพัฒนานี้ก่อให้เกิดผลกระทบมากมายต่อสังคมความเป็นอยู่ของมนุษย์มากโดยปัจจุบันนี้ทำให้มีแนวโน้มหรือทิศทางที่จะเกิดผลกระทบใน2มิติ
1.มิติด้านที่เกิดผลดีมีอยู่มากมายแต่ก่อนอื่นต้องมาทราบก่อนว่าเทคโนโลยีสารสนเทศมีเป้าหมายกำหนดไว้ดังนี้
• เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
(Operation
Efficiency)
• เพิ่มผลผลิต
(Function
Effectiveness)
• เพิ่มคุณภาพบริการลูกค้า
(Quality
Customer Service)
• ผลิตสินค้าใหม่และขยายผลผลิต
(Product
Creation and Enhancement)
• สามารถสร้างทางเลือกเพื่อแข่งขันได้
(Altering
the basic of competition)
• สร้างโอกาสทางธุรกิจ
(Identifying
and Exploiting Business Opportunities)
• ดึงดูดลูกค้าและป้องกันคู่แข่ง
(Client
Lock-In/Competitor Lock-Out)
จากเป้าหมายทั้งทุกข้อของเทคโนโลยีสารสนเทศถ้าสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายดังกล่าวก็ถือได้ว่าเป็นข้อดีของเทคโนโลยีสารสนเทศระบบนี้ได้ทั้งหมดนอกจากนี้ก็ยังมี
• การพัฒนาอย่างรวดเร็วของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
โดยเฉพาะเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่เชื่อมโยงกันทั่วโลก
ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทุกช่องทาง
ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ
สังคม
และการเมือง
เช่น
การศึกษาหาความรู้และข้อมูลต่างๆในทุกเรื่องที่สนใจของประชาชนทุกระดับอายุ
การติดต่อสื่อสารในหลายรูปแบบทั้ง
Online
และ
Batch
Job การทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ การตกลงซื้อขายสินค้าทางอิเล็กทรอนิกส์
การดูหนัง
ฟังเพลง
และบันเทิงต่างๆ
• การพัฒนาให้คอมพิวเตอร์มีประสิทธิภาพในการฟัง
ประมวลผล
และโต้ตอบด้วยตัวอักษรหรือเสียงพูดเป็นภาษาต่างๆ
ได้
อ่านตัวอักษรหรือลายมือเขียนได้
การแสดงผลของคอมพิวเตอร์ได้เสมือนจริง
และการรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสทุกด้านที่ใกล้เคียงหรือเหมือนกับมนุษย์มากๆ
• การพัฒนาระบบบริหารจัดการอิเล็กทรอนิกส์เพื่อสนับสนุนด้านต่างๆ
เช่น
สารสนเทศ
ฐานข้อมูล
ฐานความรู้ต่างๆ
• การศึกษาตามอัธยาศัยด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์
(E-learning)
การเรียนการสอนด้วยระบบโทรศึกษา
(Tele-Education)
การค้นคว้าหาความรู้ได้ตลอด
24
ชั่วโมงจากห้องสมุดเสมือน
(Virtual
Library)
• การพัฒนาเครือข่ายโทรคมนาคมที่ทันสมัย
ระบบการสื่อสารผ่านเครือข่ายไร้สาย
เครือข่ายดาวเทียม
ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์
ทำให้สามารถค้นหาตำแหน่งได้อย่างแม่นยำ
• การบริหารจัดการภาครัฐสมัยใหม่
โดยการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและเครือข่ายการสื่อสารเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการ
ดำเนินการของภาครัฐที่เรียกว่า
รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์
(E-Government)
ระบบการจ่ายเงินเดือนแก่ข้าราชการ
และระบบงบประมาณ
ของทุกหน่วยงานทั้งประเทศโดยกรมบัญชีกลาง
รวมทั้งระบบฐานข้อมูลประชาชน
หรือ
E-Citizen
และอีกมากมาย
2.มิติด้านที่เกิดผลเสีย มีอยู่มากมายเช่น
• วงจร
ชีวิตของระบบสารสนเทศ
เป็นระบบที่มีวงจรชีวิตค่อนข้างจำกัด
อาจจะอธิบายได้ว่า
เนื่องจาการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี
รวมทั้งสภาพทางเศรษฐกิจและธุรกิจ
เช่น
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
ทำให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนระบบสารสนเทศไปด้วยหรือการเปลี่ยนแปลงความต้องการของผู้บริหารก็อาจจะต้องเปลี่ยนระบบสารสนเทศไปด้วย
• ลงทุนสูง
เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเครื่องมือที่มีราคาแพง
และส่วนมากไม่อาจจะนำไปใช้ได้ทันที
แต่จะต้องมีความรู้ความเข้าใจเสียก่อนจึงจะใช้ได้อย่างถูกต้องและมี ประสิทธิภาพ
• ก่อให้เกิดช่องว่าง
(Gap)
เทคโนโลยีสารสนเทศ
ทำให้เกิดช่องว่างในการรับข่าวสารระหว่างคนจนกับคนรวย
• ความผิดพลาดในการทำงานของระบบ
คอมพิวเตอร์
ทั้งส่วนฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
ที่เกิดขึ้นจากการออกแบบและพัฒนา
ทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบและสูญเสียค่าใช้จ่ายในการแก้ปัญหา
• การละเมิดลิขสิทธิ์ของทรัพย์สินทางปัญญา
การทำสำเนาและลอกเลียนแบบ
ทำให้เกิดการละเมิดต่อ
กฏหมายแสวงประโยชน์ด้วยการทำสำเนาเพื่อจำหน่ายในราคาถูกโดยเจตนา และจะทำให้เกิดความผิดต่อประชาชนผู้ใช้งานที่ไม่เจตนาทำการทำสำเนาแจกกันเองของผู้ใช้งานที่ยังไม่เข้าใจเรื่องการละเมิดทรัพย์สิน ทางปัญญาดีเพียงพอ
• การก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์
การโจรกรรมข้อมูล
การล่วงละเมิด
การก่อกวนระบบคอมพิวเตอร์
ของหน่วยงาน
สถาบันต่างๆทั้งของภาครัฐและเอกชน
ปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้บูรณาการเข้าสู่ระบบราชการ
และระบบธุรกิจ
ดังนั้นทุกองค์กรที่จะอยู่รอดและมีพัฒนาการเดินต่อไปได้ต้องสามารถปรับตัวและจัดการกับเทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสมโดยในที่นี้จะขอกล่าวถึงเทคโนโลยีสารสนเทศที่จะมีผลต่อการดำเนินงานของระบบราชการและการดำเนินงานของภาคธุรกิจในอนาคตเพื่อให้ผู้บริหารในฐานะหัวใจสำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศขององค์กรได้ศึกษาแต่เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีสารสนเทศอาจทำให้เทคโนโลยีที่กล่าวถึงในที่นี้ล้าสมัยได้ในระยะเวลาอันรวดเร็วดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ผู้บริหารที่สนใจจะต้องศึกษาติดตามความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
โดยเทคโนโลยีสารสนเทศที่สำคัญและจะเกิดขึ้นในอนาคต
มีดังต่อไปนี้
1. คอมพิวเตอร์ (Computer) ปัจจุบันคอมพิวเตอร์ได้พัฒนาไปจากยุคแรกๆที่เครื่องมีขนาดใหญ่ทำงานได้ช้า
ความสามารถต่ำ
มีราคาสูงมาก
และใช้พลังงานสูง
เป็นการใช้เทคโนโลยีวงจรรวมขนาดใหญ่
(Very
Large Scale Integrated Circuit : VLSI) ในการผลิตไมโครโปรเซสเซอร์
(Microprocessor)
ทำให้ประสิทธิภาพของส่วนประมวลผลของเครื่องพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัดนอกจากนี้ยังได้มีการพัฒนาหน่วยความจำให้มี
ประสิทธิภาพสูงขึ้น
แต่มีราคาถูกลง
ซึ่งช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำงานของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในปัจจุบัน
โดยที่คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในขณะที่มีความสามารถเท่าเทียมหรือมากกว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ในสมัยก่อน
ตลอดจนการนำคอมพิวเตอร์ชนิดลดชุดคำสั่ง
(Reduced
Instruction Set Computer) หรือ
RISC
มาใช้ในการออกแบบหน่วยประเมินผล
ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้เร็วขึ้นโดยใช้คำสั่งพื้นฐานง่ายๆ
2. ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial
Intelligence) หรือ AI เป็นการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ให้มีความสามารถที่จะคิดแก้ปัญหาและให้เหตุผลได้เหมือนอย่างการใช้ภูมิปัญญาของมนุษย์จริง
ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ในหลายสาขาวิชาได้ศึกษาและทดลองที่จะพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ให้สามารถทำงานที่มีเหตุผล
โดยการเลียนแบบการทำงานของสมองมนุษย์ซึ่งความรู้ทางด้านนี้ถ้าได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจะสามารถนำมาประยุกต์ใช้งานต่าง
ๆ
อย่างมากมาย
เช่น
ระบบผู้เชี่ยวชาญเป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้ความสามารถในการแก้ปัญหาได้อย่างผู้เชี่ยวชาญ
และหุ่นยนต์
(Robotics)
เป็นการพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ให้สามารถปฏิบัติงานและใช้ทักษะการเคลื่อนไหวได้ใกล้เคียงกับการทำงานของมนุษย์
เป็นต้น
3. ระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหาร
(Executive
Information System) หรือ EIS เป็นการพัฒนาระบบสารสนเทศที่สนับสนุนผู้บริหารในงานระดับวางแผนนโยบายและกลยุทธ์ขององค์การโดยที่
EIS
จะถูกนำมาให้คำแนะนำผู้บริหารในการตัดสินใจเมื่อประสบปัญหาแบบไม่มีโครงสร้างหรือกึ่งโครงสร้างโดย
EIS
เป็นระบบที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการที่พิเศษของผู้บริหารในด้านต่าง
ๆ
เช่น
สถานการณ์ต่าง
ๆ
ทั้งภายในและภายนอกองค์การ
รวมทั้งสถานะของคู่แข่งขันด้วย
โดยที่ระบบจะต้องมีความละเอียดอ่อนตลอดจนง่ายต่อการใช้งาน
เนื่องจากผู้บริหารระดับสูงจำนวนมากไม่เคยชินกับการติดต่อและสั่งงานโดยตรงกับระบบคอมพิวเตอร์
4. การจดจำเสียง (Voice
Recognition) เป็นความพยายามของนักวิทยาศาสตร์ที่จะทำให้คอมพิวเตอร์จดจำเสียงของผู้ใช้
ปัจจุบันการพัฒนาเทคโนโลยีสาขานี้ยังไม่ประสบความสำเร็จตามที่นักวิทยาศาสตร์ต้องการ
ถ้าในอนาคตนักวิทยาศาสตร์ประสบความสำเร็จในการนำความรู้ต่าง
ๆ
มาใช้สร้างระบบการจดจำเสียง ก็จะสามารถสร้างประโยชน์ได้อย่างมหาศาลแก่การใช้งานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศโดยที่ผู้ใช้จะสามารถออกคำสั่งและตอบโต้กับคอมพิวเตอร์แทนการกดแป้นพิมพ์ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ที่ไม่เคยชินกับการใช้คอมพิวเตอร์ให้สามารถปรับตัวเข้ากับระบบได้ง่าย
เช่น
ระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหารระดับสูง
การสั่งงานระบบฐานข้อมูลต่าง
ๆ
และระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูลเป็นต้น
ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและขยายคุณค่าเพิ่มของเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีต่อธุรกิจ
5. การแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
(Electronics
Data Interchange) หรือ EDI เป็นการส่งข้อมูลหรือข่าวสารจากระบบคอมพิวเตอร์หนึ่งไปสู่ระบบคอมพิวเตอร์อื่นโดยผ่านทางระบบสื่อสารข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
เช่น
การส่งคำสั่งซื้อจากผู้ซื้อไปยังผู้ขายโดยตรง
ปัจจุบันระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์กำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย
ๆ
เพราะช่วงลดระยะเวลาในการทำงานของแต่ละองค์การลง
โดยองค์การจะสามารถส่งและรับสารสนเทศในการดำเนินธุรกิจ
เช่น
ใบสั่งซื้อและใบตอบรับผ่านระบบสื่อสารโทรคมนาคมที่มีอยู่
ทำให้ทั้งผู้ส่งและผู้รับไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง
6. เส้นใยแก้วนำแสง
(Fiber
Optics) เป็นตัวกลางที่สามารถส่งข้อมูลข่าวสารได้อย่างรวดเร็วโดยอาศัยการส่งสัญญาณแสงผ่านเส้นใยแก้วนำแสงที่มัดรวมกัน
การนำเส้นใยแก้วนำแสงมาใช้ในการสื่อสารก่อให้เกิดแนวความคิดเกี่ยวกับ
“ทางด่วนข้อมูล (Information
Superhighway)” ที่จะเชื่อมโยงระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน
เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ได้มีโอกาสเข้าถึงข้อมูลและสารสนเทศต่าง
ๆ
ได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น
ปัจจุบันเทคโนโลยีเส้นใยแก้วนำแสงได้ส่งผลกระทบต่อวงการสื่อสารมวลชนและการค้าขายสินค้าผ่านระบบเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์
7. อินเทอร์เน็ต (Internet) เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงไปทั่วโลกมีผู้ใช้งานหลายล้านคน
และกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยที่สมาชิกสามารถติดต่อสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร
ตลอดจนค้นหาข้อมูลต่างๆที่สนใจได้จากทั่วโลก
8. ระบบเครือข่าย (Networking
System) โดยเฉพาะระบบเครือข่ายเฉพาะพื้นที่
(Local
Area Network : LAN) เป็นระบบสื่อสารเครือข่ายที่ใช้ในระยะทางที่กำหนด
ส่วนใหญ่จะภายในอาคารหรือในหน่วยงาน
LAN
จะมีส่วนช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำงานของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลให้สูงขึ้น
รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
การใช้ข้อมูลร่วมกัน
และการเพิ่มความเร็วในการติดต่อสื่อสาร
นอกจากนี้ระบบเครือข่ายของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลยังผลักดันให้เกิดการกระจายความรับผิดชอบในการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศไปยังผู้ใช้มากกว่าในอดีต
9. ระบบการประชุมทางไกล
(Teleconference) เป็นการนำเทคโนโลยีสาขาต่าง
ๆ
เช่น
คอมพิวเตอร์
เครื่องถ่ายโทรทัศน์
และระบบสื่อสารโทรคมนาคมผสมผสาน
เพื่อให้สนับสนุนในการประชุมมีประสิทธิภาพ
โดยผู้นำเข้าร่วมประชุมไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่ในห้องประชุมและพื้นที่เดียวกัน ซึ่งจะช่วยให้ประหยัดเวลาในการเดินทาง โดยเฉพาะในสภาวะการจราจรที่ติดขัด ตลอดจนผู้เข้าประชุมอยู่ในเขตที่ห่างไกลกันมาก
10. โทรทัศน์ตามสายและผ่านดาวเทียม
(Cable
and Sattleite TV) การส่งสัญญาณโทรทัศน์ผ่านสื่อต่าง
ๆ
ไปยังผู้ชม
จะมีผลทำให้ข้อมูลข่าวสารสามารถแพร่ไปได้อย่างรวดเร็วและครอบคลุมพื้นที่กว้างขึ้น
โดยที่ผู้ชมสามารถเข้าถึงข้อมูลจากสื่อต่าง
ๆ
ได้มากขึ้น
ส่งผลให้ผู้ชมรายการมีทางเลือกมากขึ้นและสามารถตัดสินใจในทางเลือกต่าง
ๆ
ได้เหมาะสมขึ้น
11. เทคโนโลยีมัลติมีเดีย
(Multimedia
Technology) เป็นการนำเอาคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เก็บข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์มาจัดเก็บข้อมูลหรือข่าวสารในลักษณะที่แตกต่างกันทั้งรูปภาพ
ข้อความ
เสียง
โดยสามารถเรียกกลับมาใช้เป็นภาพเคลื่อนไหวได้และยังสามารถโต้ตอบกับผู้ใช้ด้วยการประยุกต์เข้ากับความรู้ทางด้านคอมพิวเตอร์
เช่น
หน่วยความจำแบบอ่านอย่างเดียวที่บันทึกในแผ่นดิสก์
(CD-ROM)
จอภาพที่มีความละเอียดสูง
(High
Resolution) เข้ากับอุปกรณ์ต่าง ๆ
เพื่อจัดเก็บและนำเสนอข้อมูล
ภาพ
และเสียงที่สามารถโต้ตอบกับผู้ใช้ได้ปัจจุบันเทคโนโลยีมัลติมีเดียเป็นเทคโนโลยีที่ตื่นตัวและได้รับความสนใจจากบุคคลหลายกลุ่ม
เนื่องจากเล็งเห็นความสำคัญว่าจะเป็นประโยชน์ต่อวงการศึกษา
โฆษณา
และบันเทิงเป็นอย่างมาก
12. การใช้คอมพิวเตอร์ในการฝึกอบรม
(Computer
Base Training) เป็นการนำเอาระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการฝึกอบรมในด้านต่าง
ๆ
หรือการนำเอาคอมพิวเตอร์มาช่วยในด้านการเรียนการสอนที่เรียกว่า
“คอมพิวเตอร์ช่วยการสอน (Computer
Assisted Instruction) หรือ CAI” การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการสอนเปิดช่องทางใหม่ในการเรียนรู้
โดยส่งเสริมประสิทธิภาพการเรียนรู้
ตลอดจนปรัชญาการเรียนรู้ด้วยตนเอง
13. การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการออกแบบ
(Computer
Aided Design) หรือ CAD เป็นการนำเอาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และระบบข้อมูลเข้ามาช่วยในการออกแบบผลิตภัณฑ์รวมทั้งรูปแบบหีบห่อของผลิตภัณฑ์หรือการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยทางด้านการออกแบบวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมให้มีความเหมาะสมกับความต้องการและความเป็นจริง
ตลอดจนช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานในการออกแบบ
โดยเฉพาะในเรื่องของเวลา
การแก้ไข
และการจัดเก็บแบบ
14. การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการผลิต
(Computer
Aided Manufacturing) หรือ CAM เป็นการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยในการผลิตสินค้าในโรงงานอุตสาหกรรม
เนื่องจากระบบคอมพิวเตอร์จะมีความเที่ยงตรงและน่าเชื่อถือได้ในการทำงานที่ซ้ำกันตลอดจนสามารถตรวจสอบรายละเอียดและข้อผิดพลาดของผลิตภัณฑ์ได้ตามมาตรฐานที่ต้องการ
ซึ่งจะช่วยประหยัดระยะเวลาและแรงงาน
ประการสำคัญ
ช่วยให้คุณภาพของผลิตภัณฑ์มีความสม่ำเสมอตามที่กำหนด
15. ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์
(Geographic
Information System) หรือ GIS เป็นการนำเอาระบบคอมพิวเตอร์ทางด้านรูปภาพ
(Graphics)
และข้อมูลทางภูมิศาสตร์มาจัดทำแผนที่ในบริเวณที่สนใจ
GIS
สามารถนำมาประยุกต์ให้เป็นประโยชน์ในการดำเนินกิจการต่าง
ๆ
เช่น
การวางแผนยุทธศาสตร์
การบริหารการขนส่ง
การสำรวจและวางแผนป้องกันภัยธรรมชาติ
การช่วยเหลือและกู้ภัย
เป็นต้น
ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีสารสนเทศที่ถูกพัฒนาขึ้นในปัจจุบัน
และโลกก็ยังคงกำลังทำการศึกษาและปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพเหมาะสมต่อการใช้งานในอนาคตโครงการพัฒนาความรู้ต่าง
ๆ
เหล่านี้จะมีผลไม่เพียงต้องการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีสารสนเทศเท่านั้นแต่ยังจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานขององค์การและความเป็นอยู่ของมนุษย์ในสังคมส่วนรวมอีกด้วย
เราจะเห็นว่าปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศจะเข้ามามีบทบาทและอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์เพิ่มขึ้น
ดังนั้นเราต้องพยายามติดตาม
ศึกษา
และทำความเข้าใจแนวทางและพัฒนาการที่เกิดขึ้น
เพื่อที่จะนำเทคโนโลยีสารสนเทศไปประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์ในการดำรงชีวิตอย่างเหมาะสมต่อไป
📂สืบค้นเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ.2561 🔌📃อ้างอิง : www.dstd.mi.th/board/index.php?topic=1239.0 |
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น